มาร์ติน โอเดการ์ด กลับมาแจ้งเกิดได้อีกครั้ง

ช่วงวัยรุ่นถือว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญของการเป็นนักฟุตบอลเลยทีเดียว เพราะพรสวรรค์บวกกับวินัยในการฝึกซ้อมจะเปล่งประกายในตัวเองออกมาจนกลายเป็นนักเตะฟุตบอลอาชีพแบบเต็มตัว อีกหนึ่งคนที่น่าชื่นชมมากก็คือ มาร์ติน โอเดการ์ด วอนเดอร์คิดที่ตอนนี้กลับมาเส้นทางที่ควรจะเป็นได้สักที แจ้งเกิด แต่ไม่เกิด มาร์ติน โอเดนการ์ด เคยเป็นข่าวฮือฮาอยู่ช่วงหนึ่งเนื่องจากเค้าเป็นนักเตะวัยรุ่นที่มีพรสวรรค์สูงมาก จนทำให้เจ้าตัวได้รับโอกาสครั้งสำคัญด้วยการเซ็นสัญญาไปเล่นให้กับรีลมาดริด ทีมยักษ์ใหญ่ในสเปน แต่ว่าฝันดีเอาเค้าจริงกลับกลายเป็นฝันร้ายเพราะว่าเจ้าตัวกลับไม่ค่อยได้ลงเล่นเกมสำคัญของรีล มาดริดเลย เจ้าตัวต้องอยู่ได้แต่ในสนามซ้อม , เล่นทีมสำรอง และ ไปเล่นในเกมอุ่นเครื่องเท่านั้นเอง เรียกว่าเป็นความผิดพลาดมหันต์เลย ไม่เพียงเท่านั้น ตอนนั้นผู้จัดการทีมก็แนะนำให้เจ้าตัวลองย้ายออกไปในลักษณะการยืมตัวเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ และกระดูกฟุตบอลให้แข็งแกร่งขึ้น แต่เจ้าตัวไม่ยอมไป ขอเล่นอยู่ตรงนี้ดีกว่า การเลือกออกไปผจญภัย เมื่อไม่ยอมย้ายออกไปก็ต้องเตรียมรับผลกระทบนั้นไปด้วย นั่นก็คือ ฝีเท้าการเล่นฟุตบอลที่ตกลงอย่างน่าใจหาย ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้สัมผัสกับเกมฟุตบอลระดับสูงทำให้ร่างกาย สัญชาติญาณ ไม่พัฒนาเท่าที่ควร จนสุดท้ายเจ้าตัวขอเลือกไปเล่นกับ เรอัล โซเซียดัด ทีมในลาลีก้า ซึ่งนั่นคือการตัดสินใจที่ถูกต้อง กลับมาแจ้งเกิดได้อีกครั้ง หลังจากได้ออกไปเล่นให้กับ เรอัล โซเซียดัด ต้องบอกว่าเหมือนปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยปลาลงน้ำ เพราะว่ามาร์ติน โอเดการ์ดเหมือนกลับมาแจ้งเกิดในวงการฟุตบอลอีกครั้ง เล่นดีมากทั้งยิง ทั้งเลี้ยง ทั้งจ่ายให้กับเพื่อนร่วมทีมทำประตูอย่างต่อเนื่อง จนตอนนี้เจ้าตัวพาต้นสังกัดขึ้นมาอยู่ในกลุ่มหัวตารางเพื่อทำอันดับไปเล่นฟุตบอลยุโรปแล้ว ล่าสุดก็ทั้งยิง ทั้งจ่ายให้ต้นสังกัดชนะ เออิบาร์ ไปสบาย 4-1 ผลงานแบบนี้เชื่อว่า รีล มาดริด จบฤดูกาลอาจจะดึงตัวกลับไปร่วมทีมอย่างแน่นอน เราขอทำนายล่วงหน้าได้เลย

“นิคลาส เบนท์เนอร์” ไม่อุทธรณ์โทษทำร้ายร่างกายคนขับแท็กซี่

“นิคลาส เบนท์เนอร์” นักฟุตบอลดาวยิงจากทีมชาติเดนมาร์ก ถูกศาลสั่งจำคุกพร้อมปรับเงินเพราะ ก่อเหตุทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายคนขับแท็กซี่หลังตัดสินใจไม่อุทธรณ์ โดยกองหน้าของโรเซนบอร์ก ถูกศาลสั่งจำคุก 50 วันพร้อมปรับเงินข้อหาทำร้ายร่างกายคนขับรถแท็กซี่เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา แข้งวัย 30 ปี อดีตกองหน้าชื่อดัง อาร์เซน่อล ได้ออกไปเที่ยวยามค่ำคืนใน กรุงโคเปนเฮเก้น ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้รับแจ้งว่า นักเตะจอมเก๋า วัย 30 ปี ไปมีเรื่องกับคนขับแท็กซี่ และทำร้ายร่างกายคู่กรณีจนกระดูกกรามหัก ก่อนจะโดนตำรวจตามรวบตัวได้ในเวลาต่อมา แม้เจ้าตัวจะอ้างว่าเขาเพียงแค่ป้องกันตัวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เบนท์เนอร์ ตัดสินใจไม่อุทธรณ์คดีดังกล่าวแล้ว นั่นหมายความว่าเขาจะรับโทษจำคุก พร้อมกับถูกปรับเงินจำนวน 180 ปอนด์ (ราว 8,100 บาท) รวมทั้งต้องจ่ายเงินค่าทำขวัญให้กับคู่กรณีมากกว่า 1,000 ปอนด์ (ราว 45,000 บาท) ด้วย ทั้งนี้เรื่องราวทั้งหมดเริ่มจากการที่ เบนท์เนอร์ ปฏิเสธจ่ายเงินค่าโดยสารจำนวน 4.80 ปอนด์ (ราว 216 บาท) หลังออกท่องราตรีกับแฟนสาว จากนั้นก็ลงมือบรรเลงเพลงโหด ด้วยการชกที่ใบหน้าและเตะซ้ำคนขับแท็กซี่ โดยมีภาพวิดีโอเป็นหลักฐาน และทำให้กองหน้าเลือดโคนมยอมรับผิดแม้จะอ้างว่าถูกคู่กรณีขู่ขว้างขวดหรือกระป๋องใส่เขาและแฟนสาว เนื่องจากออกจากรถโดยไม่ได้จ่ายเงิน ขณะเดียวกันพนักงานขับแท็กซี่ ก็ถูกปรับเงิน 350 ปอนด์ (ราว 15,750 บาท) โทษฐานใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ และไม่คาดเข็มขัดนิรภัย

เจอร์เมน เดโฟ เผยชื่อสุดยอดนักเตะในใจตั้งแต่อยู่ในวงการค้าแข้ง

เจอร์เมน เดโฟ ดาวยิงมากประสบการณ์ของ บอร์นมัธ กล่าวว่านักเตะที่เขาเคยเผชิญหน้าด้วยและมีควมเก่งกล้าที่สุดคือ “พอล สโคลส์ ” แข้งในตำนานตำแหน่งมิดฟิลด์ของทีม ปิศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ศูนย์หน้าวัย 36 ปี กล่าวว่า “ในแง่มุมของกีฬาฟุตบอลแล้ว นักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุด เฉียบแหลมที่สุดและเทคนิคครองูกแพรวพราวคงจะหนีไม่พ้น “พอล สโคลส์” โดยตอนที่ผมอยู่เล่นให้กับ ท็อตแน่ม และ พอร์ทสมัธ ผมเองมองว่าในเวลาที่เราเล่นในระบบกองหน้า 2 คน เจอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด มันจะเป็นงานยากเสมอ เพราะว่า สโคลส์ จะควบคุมเกมได้อยู่หมัดดีเสมอ” “คุณจะแทบไม่ได้ครองบอลเลย ลูกจ่ายของเขามันมหัศจรรย์ก็น่าเหลือเชื่อ ผมรู้สึกราวกับว่าเขาเป็นคนที่มาจากในอีกระดับหนึ่ง เขานำหน้าทุกคนในสนามไป 2 ก้าว เและขาทำประตูได้ด้วยเช่นกัน เป็นผู้เล่นที่ครบเครื่องที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นแนวทางการเล่นของเขามันอัจฉริยะชัด ๆ ” เดโฟ กล่าวเพิ่ม สำหรับ “พอล สโคลส์ ” ปัจจุบันได้ผันตัวมาเป็นนักวิเคราะห์เกมทางโทรทัศน์ ซึ่งที่ผ่านมาก็มักจะให้ความเห็นอย่างชัดเจนตรงไปตรงมาถึงสโมสรเก่าของเขาอยู่เสมอ

แคมป์นักเตะทีมชาติ เวลาชักชวนการย้ายทีม

ช่วงการพักเบรคทีมชาติอย่างนี้ นอกจากจะเป็นเวลาพักของนักเตะที่ไม่ได้ติดทีมชาติแล้ว นักเตะที่ติดทีมชาตินอกจากจะได้โอกาสและความภาคภูมิใจที่ได้รับใช้ชาติแล้ว ส่วนหนึ่งที่เริ่มเห็นมีพฤติกรรมเหล่านี้กันบ้างแล้ว(จริงก็มีมานานแล้วแต่ไม่มีอะไรจับได้) นั่นก็คือ การชักชวนกันย้ายทีมมาเล่นด้วยกันตอนอยู่ทีมชาติ นักเตะมีเวลาร่วมกันแบบไม่มีกั๊ก เวลาที่นักเตะไปเข้าแคมป์ทีมชาตินั้น ส่วนใหญ่นักเตะทั้งหมดจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา(ไม่ได้กลับบ้าน) ซึ่งส่วนใหญ่นักเตะที่ติดทีมชาติเอาเข้าจริงหากไม่ใช่หน้าใหม่หรือขึ้นมาจากการดันเยาวชนจริงๆ ส่วนมากแล้วก็จะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยหัดเล่นฟุตบอลด้วยกัน หรือติดทีมชาติมาตั้งแต่รุ่นเยาวชนนั่นเอง ทำให้ไม่แปลกที่บางคนอาจจะมีความสนิทกันเป็นอย่างมากกว่าเพื่อนร่วมทีมทั่วไป บอกเล่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เมื่อเพื่อนซี้เก่าเจอกัน ก็ไม่แปลกที่จะต้องมีการบอกเล่าเรื่องราวแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ต่างคนต่างเจอกันมา ทั้งเรื่องส่วนตัว ผลงานในสนาม การใช้ชีวิต และเรื่องอื่นๆอีกเยอะแยะจิปาถะ ตามประสาเพื่อนคุยกันนั่นแหละ ทีนี้เมื่อเล่ากันไปมาแล้วก็คงจะมีบ้างที่จะถามว่า เล่นทีมนั้นเป็นอย่างไร ผู้จัดการทีมเป็นอย่างไร คู่แข่งเป็นอย่างไรกันบ้าง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเมื่อคุยกันพอได้สักหน่อย เชื่อว่าต้องมีการชักชวนมาเล่นด้วยกัน ชักชวนเพื่อนร่วมทีมมาเล่นด้วยกัน อย่างที่เป็นข่าวออกไปว่า อองตวน กรีซมันน์ พูดคุยกับป็อกบาว่าอยากมาเล่นด้วยกันที่ แมนยู  ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเป็นแบบนั้น หากเราเล่นร่วมกับใครแล้วสนุก มีความสุขก็ไม่แปลกที่จะชวนมาเล่นด้วยกันอีกในนามสโมสร ก็หวังว่าลมปากของป็อกบาคราวนี้จะทำให้ อองตวน กรีซมันน์ เคลิ้มจนได้ย้ายมาแมนยูนะ เรื่องเงินไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเอ็ดจัดให้ ถ้าได้จริงการที่ป็อกไปเล่นทีมชาติครั้งนี้ถือว่าทำตัวมีประโยชน์มากเลย จริงๆ